เมนู

5. มานัตถัทธสูตร



ว่าด้วยการทำความเคารพในบุคคล 4 พวก



[694] สาวัตถีนิทาน.
สมัยนั้น พราหมณ์มีนามว่ามานัตถัทธะ อาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี เขา
ไม่ไหว้มารดา บิดา อาจารย์ พี่ชาย.
[695] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าอันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมทรง
แสดงธรรมอยู่.
ครั้งนั้น มานัตถัทธพราหมณ์มีความดำริว่า พระสมณโคดมนี้อัน
บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแสดงธรรมอยู่ ถ้ากระไร เราจะเข้าไปเฝ้าพระสมณ-
โคดมยังที่ประทับ ถ้าพระสมณโคดมตรัสกะเรา เราก็จะพูดกะท่าน ถ้าพระ
สมณโคดมไม่ตรัสกะเรา เราก็จะไม่พูดกะท่าน ลำดับนั้นแล มานัตถัทธ
พราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสด้วย มานัตถัทธพราหมณ์ต้อง
การจะกลับจากที่นั้น ด้วยคิดว่าพระสมณโคดมนี้ไม่รู้อะไร.
[696] ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกในใจของ
มานัตถัทธพราหมณ์ด้วยพระหฤทัยแล้ว ได้ตรัสกะมานัตถัทธพราหมณ์ด้วย
พระคาถาว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ใครในโลกนี้มี
มานะไม่ดีเลย ผู้ใดมาด้วยประโยชน์ใด
ผู้นั้นพึงเพิ่มพูนประโยชน์นั้นแล.

[697] ครั้งนั้น มานัตถัทธพราหมณ์คิดว่า พระสมณโคดมทราบ
จิตเรา จึงหมอบลงด้วยศีรษะที่ใกล้พระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่นั้นเอง

แล้วจูบพระบาทพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยปากและนวดด้วยมือ ประกาศชื่อว่า
ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์มีนามว่า มานัตถัทธะ.
ครั้งนั้น บริษัทนั้นเกิดประหลาดใจว่า น่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีหนอ
มานัตถัทธพราหมณ์นี้ไม่ไหว้มารดา บิดา อาจารย์ พี่ชาย แต่พระสมณโคดม
ทรงทำคนเห็นปานนี้ให้ทำนอบนบได้เป็นอย่างดียิ่ง.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะมานัตถัทธพราหมณ์ว่า พอละ
พราหมณ์ เชิญลุกขึ้นนั่งบนอาสนะของตนเถิด เพราะท่านมีจิตเลื่อมใสในเรา
แล้ว.
[698] ลำดับนั้น มานัตถัทธพราหมณ์นั่งบนอาสนะของตนแล้วได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ไม่ควรทำมานะในใคร ควรมีความ
เคารพในใคร พึงยำเกรงใคร บูชาใคร
ด้วยดีแล้ว จึงเป็นการดี.

[699] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า
ไม่ควรทำมานะในมารดา บิดา พี่ชาย
และในอาจารย์เป็นที่ 4 พึงมีความเคารพ
ในบุคคลเหล่านั้น พึงยำเกรงบุคคล
เหล่านั้น บูชาบุคคลเหล่านั้นด้วยดีแล้ว
จึงเป็นการดี บุคคลพึงทำลายมานะเสีย
ไม่ควรมีความกระด้างในพระอรหันต์ผู้
เย็นสนิท ผู้ทำกิจเสร็จแล้ว หาอาสวะมิได้
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เพราะอนุสัยนั้น.

[700] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเช่นนี้แล้ว มานัตถัทธพราหมณ์
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์
แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์
ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทาง
แก่คนหลงทาง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักมองเห็นรูปได้
ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า กับพระธรรมและ
พระภิกษุสงฆ์เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึง
พระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

อรรถกถามานัตถัทธสูตร



ในมานัตถัทธสูตรที่ 5 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มานตฺถทฺโธ ความว่า ผู้กระด้างเพราะมานะ เหมือน
ลูกโป่งเต็มไปด้วยลม. บทว่า อาจริยํ ความว่า ในเวลาเรียนศิลปะ อาจารย์
ไม่ให้ศิลปะแก่ผู้ไม่ไหว้. แต่ในกาลอื่น พราหมณ์นั้นไม่ไหว้อาจารย์. แม้
ผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีอยู่ พราหมณ์ก็ไม่รู้. บทว่า นายํ สมโณ ความว่า
พราหมณ์นั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่พระสมณะนี้ เมื่อพราหมณ์
ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติเช่นเรานาถึงเข้า ก็ไม่ทำกิจมาตรว่าปฏิสันถาร ฉะนั้น จึง
ไม่รู้อะไร.
บทว่า อพฺภูตจิตฺตชาตา ได้แก่ประกอบด้วยความยินดี อันไม่
เคยมีก็มามีขึ้น. บทว่า เกสฺ วสฺส ความว่า พึงเคารพในใคร. บทว่า
กฺยสฺส ความว่าพวกไหน เป็นที่เคารพของบุคคลนั้น. บทว่า อปจิตา อสฺสุ